เมื่อกล่าวถึงความสำคัญของภาษาอังกฤษ
ถ้าหากกล่าวในกรอบกว้างโดยพิจารณาถึงกระแสโลกาภิวัตน์ที่กำลังร้อนแรงอยู่ในเวลานี้แล้ว แน่นอนว่าภาษาอังกฤษยังสำคัญยิ่งยวดในการติดตามวิทยาการสมัยใหม่ตลอดจนข่าวสารสนเทศและความเป็นไปของโลกที่พัวพันกับวิถีชีวิตของคนไทยยุคปัจจุบัน
และถ้ากล่าวโดยเปรียบเทียบกับภาษาเพื่อนบ้านแล้ว
ภาษาเพื่อนบ้านย่อมมีความสำคัญน้อยกว่าภาษาอังกฤษไม่ว่าจะในวงวิชาการหรือในเรื่องอื่น
ๆ
ด้วยผู้คนต่างก็ยังยึดถือภาษาอังกฤษออกหน้าออกตากว่าภาษาเพื่อนบ้านอย่างเห็นได้ชัด แต่เมื่อท่านนำสองเรื่องคือภาษาอังกฤษและภาษาเพื่อนบ้านมาเชื่อมต่อกับคนรุ่นใหม่ในประชาคมอาเซียนแล้ว ย่อมกลายเป็นหัวข้อเรื่องใหญ่ที่ท้าทายต่อการถกแถลงเรื่องการใช้ภาษาอังกฤษและ
การใช้ภาษาเพื่อนบ้านสำหรับคนไทยเราในอนาคตเมื่อประเทศเข้าสู่ประชาคมอาเซียนเป็นอย่างมาก
เพื่อประโยชน์ในการทำความเข้าใจเป็นขั้นเป็นตอน จึงขอลำดับประเด็นเรื่องที่จะกล่าวออกเป็น 7 ประเด็นด้วยกันคือ ประชาคมอาเซียนจะเกิดในปี 2558 ต้องอาศัยความเชื่อมโยงระหว่างกันในอาเซียน ซึ่งการเชื่อมโยงประชาชนนั้นสำคัญสุด จากนั้นเป็นเรื่องภาษาอาณานิคมและภาษาท้องถิ่น ตามด้วยประเด็นว่าภาษาอังกฤษเติบโตมากับอาเซียน
รวมถึงดูความเข้มของภาษาอังกฤษกับพัฒนาการของอาเซียน และปิดท้ายด้วยมุมมองต่อภาษาท้องถิ่นกับอนาคตอาเซียน
ประชาคมอาเซียนจะเกิดในปี 2558
ทุกท่านทราบกันมาเป็นอย่างดีแล้วว่า อาเซียน 10 ประเทศมีเป้าหมายจะก้าวไปสู่การเป็นประชาคมอาเซียนในปี 2558
ที่ประชาคมอาเซียนจะประกอบด้วยเสาค้ำสำคัญ 3 เสา หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง
ประชาคมอาเซียนจะเป็นประชาคมไปไม่ได้ถ้าไม่มีความสำเร็จของ 3 เสาหลัก คือการเมืองความมั่นคง เศรษฐกิจ
และสังคมวัฒนธรรม
3
เสาหลักมีความสำคัญทุกเสา
มีพลังค้ำยันที่แข็งแกร่งก็ต้องแข็งแกร่งทุกเสา ซึ่งหากดูตัวอย่างง่าย ๆ เพื่อให้เห็นภาพ ก็คือเก้าอี้เล็กที่มี 3
ขา ต้องมั่นคง ไม่อย่างนั้นคุณอาเซียนจะนั่งไม่ได้ แต่ถ้ามั่นคง
คุณอาเซียนจะเอนไปซ้ายนิดขวาหน่อย
ก็ firm ไม่ล้มหงาย
เพราะแต่ละขาจะสัมพันธ์กำลังรับกันอย่างมีดุลภาพ การที่เก้าอี้เล็กมี 3
ขาหลัก ย่อมนำมาซึ่ง “ความสามารถในการแข่งขันสูง”
เปรียบเสมือนจำเป็นไม่แต่เพียงรองนั่ง คุณอาเซียนยังอาจขึ้นไปยืนบนเก้าอี้เล็ก 3 ขาเพื่อหยิบหรือเขี่ยสิ่งของที่ต้องการที่อยู่สูงขึ้นไปได้อีกด้วย
แต่การจะร่วมกันสร้างความแข็งแกร่งให้กับทั้ง
3
เสาเพื่อให้สามารถในการแข่งขันสูงได้
ต้องมีกติกาชัดเจน
มิใช่ต่างคนต่างทำ
และเมื่อมีกติกาชัดเจนก็ต้องเด่นชัดว่า
ทั้งหลายทั้งมวลทำเพื่อประชาชนคนในประชาคมอาเซียน มิใช่เพื่อต่างชาติ (นอกอาเซียน)
หรือประเทศที่สาม หรือบริษัทข้ามชาติใด
ๆ ด้วยเหตุนี้ ทุกเรื่องที่ทำต้องมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง
และนี่เองที่เป็นที่มาของการออกกฎบัตรอาเซียน
ที่จะเปรียบก็เหมือนการมีธรรมนูญของอาเซียนนั่นเอง
กฎบัตรหรือธรรมนูญอาเซียนประกาศและมีผลบังคับใช้เมื่อ 2551 เป็นการบอกชาวโลกและเตือนพวกเรากันเองว่าต่อแต่นี้ไป เรามิใช่จะรวมตัวสัมพันธ์กันอย่างหลวม ๆ
อีกแล้ว แต่จะมีเป้าหมายชัดเจน จะโตด้วยกันรวยด้วยกัน และจะไปในทิศทางใดก็จะไปด้วยกัน
ซึ่งจะเป็นการไปอย่างมีขั้นตอนมีกฎระเบียบกำกับชัดเจน ทำให้อาเซียนมีฐานะเป็นนิติบุคคลที่มีสิทธิมีหน้าที่ มีหลักเกณท์การรับสมาชิกใหม่ที่เมื่อประเทศใดใหม่ประสงค์เข้ามาต้องได้รับความเห็นชอบจากทุกประเทศสมาชิก ทั้งนี้ อาเซียนต้องก้าวหน้าด้วยทุกประเทศต้องปฏิบัติตามพันธะและต้องออกกฏหมายภายในรองรับ นอกจากนี้ เวลามีความขัดแย้งก็มีหลักเกณท์ในการแก้ไข หรือใครทำผิดก็ตัดสินลงโทษกันได้ ซึ่งทั้งหมดเป็นเรื่องที่ปรากฏในกฏบัตร แต่ทำได้จริงคงเป็นอีกเรื่องที่ต้องติดตาม
ต้องอาศัยความเชื่อมโยงระหว่างกันในอาเซียน
เมื่อตกลงปลงใจจะกอดคอกันเป็นประชาคมอาเซียน โดยหวังให้มีเสาหลัก 3 เสาค้ำยันนั้น มาจากเหตุผลสำคัญคือ (ก) ให้ทุกประเทศอุ่นใจไม่ขัดแย้งหรือหากขัดแย้งก็มีหนทางแก้ไข เพราะมีเสาหลักการเมืองความมั่นคง (โดยในประชาคมมีบรรยากาศเป็นประชาธิปไตย มีความยุติธรรมและมีความปรองดองและรักสันติกับโลกภายนอก) และ (ข) ให้ทุกประเทศอุ่นใจไม่จนไม่ขัดสน เพราะมีเสาหลักเศรษฐกิจ (ที่มีตลาดและฐานการผลิตเดียวกันซึ่งแน่นอนว่าต้องใหญ่และทำให้เศรษฐกิจรวมเข้มแข็งสามารถแข่งขันในระบบเศรษฐกิจโลกได้)
ตามด้วย (ค) ให้ทุกประเทศอุ่นใจด้วยสังคมรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
(เพราะลูกหลานมีการศึกษาและความเป็นมนุษย์ที่ไม่จัดสนจนยากแถมเปี่ยมล้มด้วยการเคารพสิทธิมนุษยชน)
แต่ที่กล่าวไว้ข้างต้นจะเกิดได้ 10 ประเทศอาเซียนที่แยกกระจายจากเหนือสู่ใต้ หรือจากออกสู่ตก ครอบคลุมพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลด้วยประชากรกว่า 600
ล้านคน
จะต้องเชื่อมโยงกัน
เหตุนี้เองที่ประเทศไทยในปี 2553
จึงได้เสนอแนวคิดว่าด้วยความเชื่อมโยงในภูมิภาคอาเซียน หรือ ASEAN
Connectivity ขึ้น
เพื่อเสริมสร้างความเป็นปึกแผ่นของประชาคมอาเซียน และนำไปสู่การเป็นประชาคมอาเซียนในปี 2558 โดยในการนี้
อาเซียนยังได้จัดทำแผนแม่บทว่าด้วยความเชื่อมโยงระหว่างกันในอาเซียน หรือ ASEAN
Master Plan on ASEAN Connectivity
เชื่อมโยงประชาชนนั้นสำคัญสุด
ภายใต้แผนแม่บทว่าด้วยความเชื่อมโยงระหว่างกันในอาเซียน
หรือ Master Plan ดังกล่าวข้างต้น จะมีองค์ประกอบหลัก คือ
· 1. ความเชื่อมโยงด้านโครงสร้างพื้นฐาน คมนาคม เทคโนโลยีและการสื่อสารพลังงาน ซึ่งคาดว่าจะก่อเกิดประโยชน์มากมายในกลุ่มประเทศสมาชิกทางการขนส่งและโลจิสติกส์ ไปมาหากันโดยสะดวกรวดเร็ว ทำให้ค้าขายแลกเปลี่ยนกันมากขึ้น กระตุ้นทั้งในอาเซียนและจากภายนอกให้สนใจเข้ามาร่วม
· 2. ความเชื่อมโยงด้านกฎระเบียบ ซึ่งได้แก่การตกลงร่วมกันด้านข้ามพรมแดน พิธีการขนส่ง
ตลอดจนกฎระเบียบว่าด้วยการบริการและการค้าไปมา
· 3. ความเชื่อมโยงด้านประชาชน ไม่ว่าจะเชื่อมกันด้านการศึกษาและวัฒนธรรม ที่มีเรื่องของการท่องเที่ยว การไปมาหาสู่
ที่จะทำได้บ่อยและสะดวกรวดเร็ว
แต่ทั้งหมดนี้ เราต่างต้องยอมรับว่า การเชื่อมโยงประชาชนอาเซียนในข้อท้ายสุดนี้ที่สำคัญ และจะให้เชื่อมโยงกันแนบแน่น ต้อง “เชื่อมใจ” กันให้ได้ ซึ่งนอกจากใช้สายตามองกันไปมาแล้ว ก็คงต้องเป็นหน้าที่ของ “ภาษา” ที่จะเป็นสื่อกลาง “เชื่อมใจ”ของเหล่ามวลมิตร
ภาษาอาณานิคมและภาษาท้องถิ่น
ถ้าจับทั้ง 10 ประเทศอาเซียนมาวางบนแผ่นกระดาษ
จะเห็นกลุ่มลุ่มน้ำโขงบนพื้นแผ่นดินกลุ่มหนึ่ง
กับกลุ่มเกาะแก่งในมหาสมุทรแปซิฟิคอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งประเทศที่อยู่ในกลุ่มทั้งสอง
ต่างเคยตกเป็นเมืองขึ้นของจักรวรรดินิยมมานับสิบนับร้อยปีกันเป็นส่วนใหญ่ ทำให้ภาษาของประเทศเจ้าอาณานิคมหรือประเทศแม่
ถูกนำมาบังคับใช้กับกลุ่มคนชั้นนำและผู้ปกครองชุมชนต่าง ๆ
ของประเทศเหล่านี้มายุคถูกยึดครอง
ทั้งเพื่อสั่งและเพื่อสอน ไม่ว่าจะเป็นภาษาอังกฤษ
ฝรั่งเศส หรือภาษาดัชท์
โดยภาษาท้องถิ่นมีใช้กันแต่ก็ไม่อาจเทียบเคียงความสำคัญกับภาษาเจ้าอาณานิคมได้
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2
เกิดลัทธิชาตินิยมและต่อต้านอาณานิคมด้วยการเรียกร้องเอกราช
ทำให้ประเทศที่ได้เกิดใหม่ต่างรังเกียจภาษาของเจ้าอาณานิคมอยู่ในระดับหนึ่ง ที่ทำให้มีการนำภาษาท้องถิ่นกลับมาใช้ในราชการ และลดความสำคัญของภาษาอาณานิคมลง เป็นเหตุให้ประชาชนใน generation ต่อมา
ไม่รู้ภาษาอาณานิคมเหมือพ่อแม่ปู่ย่าตาทวด
ดังจะเห็นได้จากพม่า เวียตนามหรืออินโดนีเซียเป็นตัวอย่าง
การเกิดใหม่ของบางประเทศในกลุ่มอาเซียนในครั้งนั้น
ต้องหาเครื่องมือในการรวมชาติด้วยประเทศมีหลากหลายเชื้อชาติ
ครั้นจะเอาภาษาใดภาษาหนึ่งมาย่อมไม่เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไป ดังนั้น
ภาษากลางที่ทุกฝ่ายยอมรับจึงกลับเป็นภาษาเจ้าอาณานิคม ดังจะเห็นได้จากในสิงคโปร์และมาเลเซีย
ที่ภาษาอังกฤษถูกนำมาใช้เพื่อเอกภาพตราบเท่าทุกวันนี้ จึงไม่แปลกใจว่าทำไมทั้งสองประเทศนี้ถึงใช้ภาษาอังกฤษได้ดีเป็นอันดับต้น
ๆ ของโลก อย่างไรก็ดี ทุกประเทศในอาเซียน
(ยกเว้นสิงคโปร์) ต่างก็ไม่ทิ้งภาษาท้องถิ่นเดิม
และมีการปรับเป็นภาษาราชการ
ซึ่งคุณสมบัติสำคัญของภาษาท้องถิ่มเดิมเหล่านี้ก็คือ ต้องเป็นภาษาที่อ่านและเขียนได้
ภาษาอังกฤษเติบโตมากับอาเซียน
การเข้ามาของภาษาอังกฤษในภูมิภาคอาเซียน
มีมูลเหตุจากอิทธิพลของเจ้าอาณานิคมอังกฤษในยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2
ที่ภาษาอังกฤษถูกนำมาใช้ในราชการ
ถูกนำมาสอนให้ผู้นำหรือหัวหน้าชุมชนที่ทำหน้าที่ช่วยในการปกครอง
ที่จะได้สื่อกับนายตะวันตกหรือถ่ายทอดความต้องการไปสู่ประชาชนในท้องถิ่นได้ นอกจากนี้
ภาษาอังกฤษยังเป็นภาษาที่ผู้ปกครองของอาณาจักรหรือเมืองต่าง ๆ
สนใจศึกษาเรียนรู้
เพื่อตามพฤติกรรมของตะวันตกได้ทัน
กับทั้งเพื่อยกระดับของตนให้สูงเทียมตะวันตกผู้มีอารยธรรม ในการนี้ ยังได้ส่งบุตรหลานของตนไปศึกษาภาษาอังกฤษในประเทศอังกฤษหรืออาณานิคมของอังกฤษเช่นสิงคโปร์หรือปีนัง ทำให้เป็นกลุ่มคนที่มีโอกาสเลื่อนชั้นในสังคมได้อย่างรวดเร็วในเวลาต่อมา
ดังจะเห็นได้จากชื่อเสียงและความมั่งคั่งของข้าราชการหรือพ่อค้านักธุรกิจที่เติบโตในต่างประเทศ ซึ่งประเทศไทยเป็นตัวอย่างอันดีของเรื่องนี้
เมื่อภาษาอังกฤษเป็นมรดกตกทอดของเจ้าอาณานิคมที่ยิ่งใหญ่ และกลายเป็นภาษาที่หลากเชื้อชาติยอมรับ รวมทั้งกลายเป็นภาษาแห่งเกียรติยศแห่งชนชั้น จึงทำให้ผู้นำประเทศต่าง ๆ
ในกลุ่มอาเซียนชุดแรก (6 ประเทศ
ประกอบด้วยมาเลเซีย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ไทยและบรูไน)
ต้องใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษากลางหรือภาษาทำงาน (working language) ของอาเซียนมาตั้งแต่ก่อตั้งอาเซียน
โดย working language หมายถึงภาษาที่ใช้ในการพูด อ่าน หรือเขียนทั้งในการประชุม
หรือในเอกสารหรือรายงานการประชุม หรือในการสื่อสารถึงกันอย่างเป็นทางการในรูปแบบอื่น
ๆ ที่รวมถึงการใช้ติดต่อกับประเทศภายนอกอาเซียนในนามของอาเซียนอีกด้วย
ความเข้มของภาษาอังกฤษกับพัฒนาการของอาเซียน
สมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรืออาเซียน ก่อกำเนิดขึ้นเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2510 ณ บ้านพักรับรองชายหาดบางแสน โดย 5
รัฐมนตรีอาเซียนวันนั้นตระหนักดีถึงสถานการณ์โลกที่เกิดแบ่งเป็นค่ายเสรีและค่ายคอมมิวนิสต์ เห็นพิษร้ายจากสงครามเย็น
และเห็นภัยร้ายจากความขัดแย้งไม่ไว้วางใจกันและกันของประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยยังเป็นวันที่อินโดนีเซียเพิ่งขัดแย้งและทำสงครามมากับมาเลเซีย
(2506-2508) มาหมาด ๆ ในปัญหา Kalimantan กับเขตพื้นที่ Salawak ที่ขยายวงความรุนแรงไปถึง Singapore-Malay
Peninsula ขณะที่ฟิลิปปินส์ก็ขัดแย้งกับมาเลเซียและพยายามขัดขวางมาเลเซียไม่ให้ผนวกรวม
Sabah เข้าอยู่ในสหพันธ์มาเวเซีย
ในจังหวะที่สิงคโปร์เวลานั้นอยู่ใต้มาเลเซียอย่างอึดอัดจนที่สุดถูกขับออกมาเป็นอีกประเทศหนึ่งในปี
2508 ทั้งนี้
ยังไม่นับรวมสงครามในอินโดจีนที่กำลังเข่นฆ่ากันอย่างอึกทึกครึกโครมต่อ ๆ
มา
5
รัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนในวันก่อตั้ง เห็นความไม่ปลอดภัยในและรอบภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
และเห็นถึงความบาดหมางไม่วางใจกันและกันอยู่ในทีของเหล่าอาเซียน
จึงครุ่นคิดกันว่าจะทำอย่างไรให้ไว้เนื้อเชื่อใจกันและกัน วันนั้นภาษาที่พูดคุยกันใช้ภาษาอังกฤษ ผลจากการคุยกันวันนั้นนำไปสู่การก่อตั้งอาเซียนอย่างเป็นทางการ
และทุกรัฐมนตรีต่างประเทศกล่าวสุนทรพจน์เป็นภาษาอังกฤษ
ดร.ถนัด คอมันต์
รัฐมนตรีต่างประเทศของไทยก็กล่าวในโอกาสนั้นความว่า “สิ่งที่เราตัดสินใจในวันนี้
เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ
ของสิ่งที่เราหวังว่าจะนำมาซึ่งความสำเร็จต่อเนื่องในระยะยาว
ซึ่งเราและผู้ที่มาร่วมกับเราในภายหลังจะเกิดความภาคภูมิใจ”
คำพูดของ ดร. ถนัดฯ เมื่อ 45 ปีก่อน
เป็นเสมือน road map
ของการก่อร่างสร้างตัวของอาเซียน
ซึ่งเห็นชัดเจนกันในเวลาต่อมา
กล่าวคืออาเซียนได้จัดตั้งคณะกรรมการ คณะอนุกรรมการ หรือกลุ่มปฏิบัติงานต่าง
ๆ มากมาย โดยคณะกรรมการต่าง ๆ
มีการประชุมกันปีละกว่า 400 วันทั้งในระดับผู้เชี่ยวชาญไปจนถึงระดับอาวุโส แต่เป้าประสงค์ในห้วง 10-20
ปีแรกมุ่งหวังเพียงให้อาเซียนมาพบปะเจอะเจอกันเพื่อสร้างความคุ้นเคยและค่อย ๆ
ลดความหวาดระแวงต่อกันมากกว่าเอาจริงหรือเอาเป็นเอาตายในเรื่องของสาระ ภาษาอังกฤษที่ใช้ในห้วงแรก ๆ
จึงมีรูปแบบการเขียนโดยพยายามใช้ถ้อยคำที่เข้าใจง่าย
(ซึ่งว่าไปก็เป็นเรื่องยาก) อย่างไรก็ดี อาเซียนจะมาเข้มข้นดูภาษาอังกฤษกันอย่างละเอียดจริงจังก็เมื่ออาเซียนเข้าสู่การประชุมหารือในเรื่องเศรษฐกิจการค้าในห้วงปีที่
20-ปัจจุบันนี้เอง
เนื่องจากเกี่ยวข้องกับกระเป๋าหรือ dollar and cent รวมทั้งเมื่อกลุ่ม
CLMV เข้ามาเป็นสมาชิกใหม่เพิ่ม
ประเทศเข้าใหม่เหล่านี้ก็ต้องฝึกฝนเรื่องภาษาอังกฤษเพื่อใช้สื่อกับราชการอาเซียนทั้งหลายให้ได้นั่นเอง
ภาษาอังกฤษจึงกลายเป็นภาษาทำงานหรือ working language ของทั้ง 10 ประเทศที่จะใช้พูด
เขียนหรือบันทึกในงานประชุมหารือหรือในการติดต่อโต้ตอบกันในหมู่ข้ารัฐการหรือข้าราชการของเหล่าประเทศสมาชิก
ทำให้หลายประเทศที่ได้เปรียบด้วยใช้กันมาแต่ยุคอาณานิคมก็จะได้เปรียบขณะที่ประเทศที่ไม่ได้ใช้มาก่อน ก็จะถนัดน้อยกว่าในเวลาประชุมหรือพูดจากัน แต่อย่างไรก็ดี
ภาษาอังกฤษอาเซียนเป็นภาษาที่มีถ้อยคำสำนวนที่ใช้ซ้ำ ๆ ด้วย patern เดิม ๆ
ทำให้ไม่ยากที่จะทำความเข้าใจทั้งในหมู่สมาชิกเก่าที่ไม่เคยเป็นอาณานิคม
อังกฤษอเมริกาหรือในหมู่สมาชิกใหม่ที่ไม่เคยใช้ภาษาอังกฤษมาก่อนก็ตาม และที่สำคัญ
เมื่อมีการประชุมแล้วต้องจัดทำรายงาน
แน่นอนว่าประเทศเจ้าภาพก็จะคิดสรรข้าราชการที่รู้ภาษาดีมาจดมาทำรายงาน และถ้าไม่ไหวจริงด้วยเรื่องที่ถกแถลงกันยากหรือละเอียดซับซ้อน ที่ประชุมก็มักตั้งคณะยกร่างหรือ drafting
committee ของการประชุมขึ้น
ซึ่งช่วยได้เป็นอย่างมาก
โดยเหตุที่อาเซียนมีการประชุมกันมากมายทั้งปีไม่มีว่างเว้น
บุคคลากรของทุกประเทศที่ต้องเกี่ยวข้องกับงานอาเซียนไม่ว่าจะไป
จากกระทรวงการต่างประเทศหรือกระทรวงทบวงกรมที่ดูแลเรื่องที่เกี่ยวข้อง
กับการประชุมก็จะเรียนรู้สร้างสมประสบการณ์
นานวันเข้าภาษาทำงานของอาเซียนก็เป็นเรื่องที่สมาชิกซึมทราบและใช้กันเป็นปกติ นั่นขอย้ำว่าทั้งหมดที่กล่าวมานี้
ภาษาอังกฤษถูกใช้กันในหมู่ผู้เกี่ยวข้องหรือให้ชัดก็คือข้ารัฐการหรือข้าราชการของประเทศต่าง
ๆ ซึ่งคนเหล่านี้มีการศึกษาดีและคัดสรรมาแต่แรกเข้า จึงรู้ภาษาอังกฤษและใช้ภาษานี้กับงานในแวดวงอาเซียน
การใช้ภาษาอังกฤษในแวดวงอาเซียนหมายความว่าพูดหรือเขียนหรืออ่านกันในเรื่องที่กำหนดคิดอ่านกันมา
เช่นชาวนาเวียตนามจะให้รัฐบาลเวียตนามช่วยให้ราคาข้าวดี ก็ผลักดันเรื่องนี้
รัฐบาลเวียตนามเห็นว่าการตั้งสำรองข้าวยามฉุกเฉินอาเซียน จะเป็นวิธีการดึงข้าวให้หายไปแล้วทำให้เกิด demand ข้าวระดับหนึ่งซึ่งที่สุดจะช่วยให้ราคาข้าวดี
ก็จะเสนอเรื่องให้กระทรวงเกษตรเวียตนามคิดกลไกหรือ scheme สำหรับอาเซียนขึ้นมา
ทั้งหมดคิดกันเป็นภาษาเวียตนาม
แล้วก็ส่งต่อให้กระทรวงการต่างประเทศเวียตนามร่วมทีมกับนักวิชาการ
หรือข้ารัฐการจากกระทรวงเกษตรเวียตนามไปประชุมในกรอบคณะกรรมการด้านการเกษตร
อาเซียน เขาเหล่านั้นก็จะนำ idea เวียตนามแต่พูดออกมาเป็นภาษาอังกฤษในที่ประชุม แล้วได้ความอย่างไร
ก็กลับฮานอยมาถ่ายทอดให้รัฐบาลหรือชาวนาเวียตนามเป็นภาษาเวียตนามต่อไป สรุปคือภาษาอังกฤษยังเป็นเพียงเครื่องมือหนึ่งในงานอาเซียนในกรอบงานภาครัฐเสียเป็นส่วนสำคัญ
คนเดินดินกินข้าวแกงหรือแม้แต่พ่อค้านักธุรกิจทั่วไป ก็ไม่จำเป็นต้องพูดได้ลึกหรือเชี่ยวชาญถึงจะอยู่ได้
แต่ที่จะอยู่ไม่ได้ก็เพราะไม่รู้ว่าอาเซียนพัฒนาไปถึงไหน แล้วอะไรออกมาใหม่ ๆ
กระทบตัวเองอย่างไรเสียมากกว่า
อนาคตอาเซียนกับความสำคัญของภาษาท้องถิ่น
เวลานี้ ไม่ว่าจะเดินเหินไปที่ไหน
เราก็จะได้ยินเรื่องการเตรียมความพร้อมเพื่อเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในปี 2558
และตามมาด้วยความวิตกว่าคนไทยเราไม่รู้ภาษาอังกฤษแล้วจะเสียเปรียบเมื่อวันที่รวมเป็นประชาคมอาเซียนแล้ว โดยรัฐบาลชุดปัจจุบันถึงกับกำหนดให้ปี 2555 นี้เป็นปีแห่งการพูดภาษาอังกฤษ หรือ English Speaking Year ที่ให้มีกิจกรรมหนึ่งวันทุกสัปดาห์ว่าด้วยการใช้ภาษาอังกฤษกันทุกโรงเรียน
การจะรู้ภาษาอังกฤษให้ดีสัปดาห์ละหนึ่งวันคงช่วยไม่ได้ และการจะดีในภาษาอังกฤษได้ต้องใช้หลัก repetition หรือกระทำซ้ำ ๆ กับทั้งจะต้องมีครูดี
เครื่องมือการสอนการถ่ายทอดที่ดี
และที่สำคัญ
จะต้องมีสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการใช้ภาษาอังกฤษมากที่สุด ทำให้การเร่งรัดเรื่องภาษาอังกฤษเป็นเรื่องพูดง่ายแต่ทำยาก แต่ที่สุด
หากมีปาฏิหาริห์ที่ทำให้คนไทยรู้ภาษาอังกฤษดีได้ในสามปีห้าปี ภาษาอังกฤษก็น่าจะเป็นเสมือนแหวนทองคำในกระเป๋า
หรือ treasure มากกว่า
การมีแหวนทองคำในกระเป๋ามีข้อดีคือเมื่อหยิบขึ้นสวมใส่ก็ดูสวยงามสดุดตาสดุดใจผู้พบเห็น และเมื่อจนนำออกขายก็ได้เงินทองมาเจือจุน
ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศในฐานะหน่วยงานหนึ่งในรัฐบาลที่ข้องเกี่ยวกับการใช้ภาษาอังกฤษ ก็ได้พยายามสนองนโยบายของรัฐบาลในเรื่องให้คนไทยได้รู้ได้เรียนภาษาอังกฤษให้ดีขึ้น เพื่อให้ตามกระแสประชาคมอาเซียนให้ทัน
ถ้ามองอย่างกว้าง
ภาษาอังกฤษจากอดีตถึงปัจจุบันและต่อไปในอนาคต
ยังคงเป็นภาษาหลักและภาษาราชการของหลายประเทศในอาเซียน รวมทั้งจะเป็นภาษาทำงาน (working language)
ของอาเซียนตามที่บัญญัติไว้ในกฎบัตรอาเซียน
และไม่น่าจะมีภาษาท้องถิ่นอื่นใดขึ้นมาทดแทนได้
แม้วันนี้จะมีการพูดกันว่ามาเลย์หรืออินโดนีเซียจะเอาภาษาบาฮาซาร์มาใช้ในอาเซียน ซึ่งก็คงใช้พูดทักทายไปมาบ้าง
แต่คงไม่มีวันยกระดับขึ้นมาทดแทนภาษาอังกฤษในฐานะภาษาทำงานได้
เนื่องจากเป็นการยากและเสียเวลามหาศาลที่จะมาเรียนรู้หรือให้การยอมรับ
ยิ่งมีข่าวว่าภาษาจีนจะเข้ามาด้วยยิ่งยากและคงเป็นไปไม่ได้ในระยะอันใกล้
แต่ถ้าจะอ้างว่าเหมือนภาษาที่ใช้กันในสหประชาชาติก็ต้องตกลงกันว่าจำเป็นไหม ซึ่งก็ต้องพิจารณากันไปและหากจะเป็นจริงก็คงอีก
100 ปีกระมัง
อาเซียนก่อตั้งมานานถึง
45 ปี
และในอีกสองถึงสามปีก็จะเป็นประชาคมอาเซียน
ซึ่งเป็นประชาคมก็มิใช่รวมกันแต่เป็นเพียงการสร้างโอกาสใหม่ให้แลกเปลี่ยนกันได้ง่ายมากขึ้น กฎระเบียบต่าง ๆ
ยังคงอยู่และดูเหมือนจะมีเพิ่มเติมอีกมาก
อาทิ กฎระเบียบว่าด้วยเขตอุตสาหกรรม
กฎระเบียบว่าด้วยค่าจ้างขั้นต่ำ
การจ้างงาน
กฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน
การ privatization
การปฏิรูปเศรษฐกิจการค้า ฯลฯ
เหล่านี้ ประเทศต่าง ๆ
ที่นอกจากจะตรากฎหมายต่าง ๆ ดังกล่าวเป็นภาษาราชการของตนแล้ว แน่นอนว่าจะต้องแปลเป็นภาษาอังกฤษไว้คู่เคียงเพื่อประเทศสมาชิกและนอกอาเซียนจะสามารถอ่านได้
ด้วยเหตุผลข้างต้น นักธุรกิจพ่อค้าและบริษัทของไทย
จำเป็นต้องมีกลุ่มบุคคลหรือเป็นทีมงานที่สุมหัวกันเป็นโต๊ะภาษาอังกฤษเพื่องานอาเซียน แล้วเข้าไปศึกษาติดตามหรือวิเคราะห์ถ้อยคำต่าง
ๆ ตามตัวบทของกฎระเบียบที่อ้างถึงข้างต้น
ดังนั้น ภาษาอังกฤษ หากคนไทยพูดได้มากพูดได้ดี หรือยิ่งถึงขั้นแตกฉานย่อมได้เปรียบในการเรียนรู้และทำความเข้าใจ และใช้ประโยชน์ตามช่องทางต่าง ๆ
ได้มากเป็นเงาตามตัว แต่ทั้งนี้ ถ้าจะให้ได้เปรียบสูงสุด ก็คงจะต้องเข้าใจถึง “ใจ” ของเพื่อนบ้านที่เราจะไปลงทุนค้าขายกับเขาด้วย และการจะเข้าถึง “ใจ”
ของเขาก็ต้องด้วยภาษท้องถิ่นเป็นสำคัญ
มีผู้ตั้งคำถามเสมอ
ๆ ว่าภาษาท้องถิ่นเพื่อนบ้านนั้นสำคัญ
ทำไมเราไม่สนใจภาษาเขาหรือ
ทั้งที่ประเทศนั้นสร้างชาติสร้างประเทศมานานนับร้อยปี ย่อมมีนักปราชญ์ผลิตงานเขียนทรงคุณค่าทั้งวิชาการ
วรรณคดีหรือทางวัฒนธรรมมากมาย
แถมฝรั่งตาน้ำข้าวเขาแห่กันมาสนใจแต่บ้านติดกับไทย ไทยเราจะไม่สนใจจริงจังกันหรือ
ภาษาอังกฤษในวันนี้ถูกกล่าวถึงในความสำคัญอย่างยิ่งใหญ่ ในสื่อในบทความทางวิชาการหรือในเวทีสัมมนาพูดคุยทั้งในกรอบภาครัฐหรือวงการของเอกชนก็พูดถึงความสำคัญของภาษาอังกฤษกันไม่ขาดปาก เสมือนเป็นสิ่งที่ต้องเร่งรีบทำให้ได้เรียนให้ดีรู้ให้แตกฉานให้แล้วเสร็จให้ทันปี
2558 มิเช่นนั้นจะเสียหาย
ซึ่งผมเห็นว่าเป็นการวาดภาพที่น่ากลัวเกินหรืออาจไปถึงขั้น mislead หรือชักนำผิดทางหรือทำให้เข้าใจผิด ๆ ได้
ทั้งนี้เพราะวันที่ประเทศไทยจะเข้าสู่ประชาคมอาเซียนก็คือวันที่คนไทยได้เปิดใจรับรู้หรือ
felt (รู้สึกประหนึ่งได้สัมผัส) ดีพอแล้วกับ “ประชาคมอาเซียน”
ขออธิบายด้วยการยกตัวอย่าง เหมือนฝนที่เคยตกหนักกันอยู่ทางภาคเหนือตอนล่างแล้ววันนี้น้ำนั้นได้ไหลหลากมาถึงอยุธยา
แน่นอนว่าน้ำจะต้องไหลต่อมาท่วมบ้านตนที่นนทบุรีเป็นแน่แท้
ซึ่งสิ่งนี้คนที่อาศัยอยู่ที่นนทบุรีรู้ดีว่าอะไรจะเกิด และเกิดจากอะไร แล้วจะเป็นอย่างไรต่อไป ดังนั้น การรู้สึกประหนึ่งได้สัมผัสถึงน้ำที่จะมาท่วมที่บ้านตนแล้วจะรับมืออย่างไร จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด หมายความว่า
จู่ ๆ เช้าวันหนึ่งในปี 2558 มีคนฟิลิปปินส์มาสอนหนังสือมากหูมากตาแถวสยามสแควร์ เป็นเหตุให้ครูไทยถูกเชิญให้ออก หรือจู่ ๆ
มีน้ำปลาเวียตนามมาตั้งขายที่เทสโก้ราคาถูกกว่าตราปลาฉลามครึ่งต่อครึ่ง แล้วไม่นานก็ได้ยินว่าโรงงานน้ำปลาตราปลาฉลามต้องปิดตัวลง
หรือหมอฟันที่ปากซอยที่ยังรักษารากฟันเราค้างอยู่หายตัวไปทำที่สิงคโปร์แล้วเราต้องไปเสียค่าทำฟันใหม่ที่แพงกว่าเดิม เหล่านี้เป็นสิ่งที่เราต้องรู้ที่มาที่ไป ซึ่งการจะรู้ที่มาที่ไป
ต้องรู้หรือได้เรียนได้รับฟังให้เข้าใจดีในเรื่องอาเซียนหรือผลที่จะตามมาจากการเกิดประชาคมอาเซียนเสียแต่เนิ่น
ๆ
ถ้ารัฐบาลจะโยนงบประมาณเร่งด่วนไปเร่งสอนให้เด็กหรือเยาวชนคนรุ่นใหม่รู้ภาษาอังกฤษกันอย่างเอิกเกริกสัปดาห์ละ
1 วันนั้นเป็นเรื่องดี แต่คงไม่ได้อะไร
แต่หากนำงบประมาณก้อนเดียวกันนี้ไปใช้กับการจัดหาครูอาจารย์ที่รู้ดี
รู้จริงเรื่องประชาคมอาเซียนมาสอนเด็กหรือเยาวชนคนรุ่นใหม่โดยถือเป็นหลัก
สูตรเร่งด่วนแล้ว
ย่อมจะเป็นเรื่องที่ดีกว่า
แต่ทั้งนี้ ก็มิใช่เลิกเรื่องภาษาอังกฤษ เพียงแต่ปล่อยเรื่องภาษอังกฤษให้ค่อย ๆ
พัฒนาไป ไม่ต้องไปตกใจผลีผลาม เพราะเวลานี้บ้านเมืองไทย ก็มีผู้รู้ภาษาอังกฤษระดับเยี่ยมอยู่มากในทุกองค์กรหลากหลายสถาบัน
ที่จะเข้าสู่การเจรจาดูแลผลประโยชน์กับประเทศอื่น ๆ
ในอาเซียนหรือกับประเทศหรือองค์กรใด ๆ นอกอาเซียนได้เป็นอย่างดีอยู่แล้ว เฉกเช่นเดียวกับที่เคยทำกันนับแต่ก่อตั้งอาเซียนเมื่อ
45 ปีที่ผ่านมา
อนึ่ง การที่เราเกิดมาไม่รู้ภาษาอังกฤษแตกฉานกันทั้งประเทศเหมือนสิงคโปร์
มาเลเซียหรือฟิลิปปินส์
ก็ไม่ได้ทำให้ประเทศไทยจนกว่าเขา
และการที่ญี่ปุ่นที่ประชากรส่วนใหญ่ของประเทศพูดแต่ญี่ปุ่นเขียนแต่ญี่ปุ่น
ก็ไม่ได้ทำให้เขากลายเป็นประเทศชั้นนำทางเศรษฐกิจด้อยกว่าประเทศอังกฤษที่พูดภาษาอังกฤษมาตั้งแต่เกิด
เนื่องจากคนญี่ปุ่นมีโอกาสอ่านหนังสือภาษาญี่ปุ่นเกี่ยวกับเรื่อง
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่คนอังกฤษอเมริกันชั้นเซียนเขียนขึ้นมาต่างหาก