เมื่อกล่าวถึงสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรืออาเซียน ทุกชั้นเรียนก็จะระบุถึงประเทศสมาชิก 10 ประเทศ แต่ในอนาคตอันใกล้ อาเซียนที่เราเรียนกันอยู่อาจจะเพิ่มเป็น 11 ประเทศคือรวม Democratic Republic of Timor-Leste หรือสาธารณรัฐประชาธิปไตยติมอร์-เลสเตหรือติมอร์ตะวันออกเข้าไปด้วย
และเมื่อโอกาสอันดีนั้นมาถึง เราจะได้ยินสโลแกนใหม่
“สิบเอ็ดชาติ หนึ่งอาเซียน”
ติมอร์-เลสเตหรือในบทความนี้ขอเรียกสั้น
ๆ ว่าติมอร์ฯ ได้รับเอกราชโดยสมบูรณ์เมื่อวันที่
20 พฤษภาคม 2002
แต่ก่อนหน้าคือในปี 1999 ที่ผู้นำติมอร์ฯ
กำลังรณรงค์หาเสียงสนับสนุนให้ติมอร์ฯ เป็นเอกราชอยู่นั้น ผู้นำติมอร์ฯ
ยังไม่มีความชัดเจนถึงทิศทางของอนาคตของประเทศถ้าหากได้รับเอกราชแล้วว่า จะไปด้วยกับกลุ่มใด แต่อาจเป็นด้วยเหตุผลเพื่อเอาใจมิตรประเทศที่อยู่เบื้องหน้า ทำให้ผู้นำติมอร์ฯ กลับแถลงถึงความปรารถนาที่จะเข้ารวมกลุ่มเศรษฐกิจอื่น ดังเช่นเมื่อเดือนตุลาคม 1999 ที่ Dr. Jose Ramos Horta ได้แถลงระหว่างเยือนประเทศหมู่เกาะแปซิฟิกว่าติมอร์ฯ
ประสงค์จะเข้ากลุ่ม South Pacific Forum มากกว่าจะเข้าเป็นสมาชิกสมาคมอาเซียน
แต่แล้วในเวลาเพียง 5 เดือนหลังได้รับเอกราชเมื่อเดือนพฤษภาคม 2002 ติมอร์ฯ
กลับเปลี่ยนท่าทีมาสู่การขอเข้าเป็นสมาชิกอาเซียน
ซึ่งนับเป็นเรื่องที่พอเข้าใจได้
เพราะหากไปร่วมกับ South Pacific Forum แล้ว สิ่งที่ได้ก็คงเพียงความเป็นพี่ ๆ น้อง ๆ กับประเทศหมู่เกาะแปซิฟิก มากกว่าที่จะมีแก่นสารจริงจังในทางเศรษฐกิจการค้า เพราะลำพังประเทศในกลุ่มหมู่เกาะ ไม่น่าจะทำให้ติมอร์ฯ
มีโอกาสขยายตลาดการค้าได้กว้างขวาง
ตรงกันข้าม
หากเข้าเป็นสมาชิกอาเซียนแล้ว
ย่อมจะอยู่ในวิสัยที่จะสร้างเสริมการส่งออกหรือเร่งรัดการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศเกิดใหม่อย่างติมอร์ฯ
ได้ดีกว่า เนื่องจากอาเซียนมีขนาดใหญ่กว่าทั้งพื้นที่ พลเมืองและความหลากหลายทางกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
ทันทีที่ติมอร์ฯ
ได้รับเอกราชเมื่อเดือนพฤษภาคม 2002 ติมอร์ฯ ได้ขอเข้าเป็นสมาชิก ASEAN
Regional Forum หรือ ARF และได้รับสถานะ “ผู้สังเกตการณ์” ของอาเซียนหรือ observer
status โดยติมอร์ฯ
สามารถเข้าร่วมสังเกตการณ์ประชุมของอาเซียนที่สำคัญ ๆ ได้หากแสดงความประสงค์ ซึ่งติมอร์ฯ ก็ได้ใช้สิทธินั้นเรื่อยมา อย่างไรก็ดี
นับเป็นความโชคร้ายก็ว่าได้
ที่แม้นติมอร์ฯ จะได้เพียรแสดงท่าทีชัดเจนในการขอเข้าเป็นสมาชิกอาเซียนมาตั้งแต่วันแรกที่ได้รับเอกราช โดยได้แรงสนับสนุนจากอินโดนีเซีย แต่ก็ไม่ปรากฏความคืบหน้ามากนัก
เหตุผลสำคัญน่าจะเป็นด้วยประเทศติมอร์ฯ ต้องมาว้าวุ่นกับความรุนแรงในประเทศที่ก่อตัวหลังเอกราชเรื่อยมาจนถึงปี
2006
ต่อเนื่องถึงปี 2008 และทำให้ผู้นำติมอร์ฯ
ไม่มีโอกาส lobby เรื่องการเข้าเป็นสมาชิกอาเซียนผู้นำประเทศอาเซียนต่าง
ๆ ได้อย่างจริงจัง เนื่องจากต้องหมดเวลาไปกับการแก้ปัญหาความขัดแย้งฆ่าฟันกันในประเทศ
โดยมีอยู่เพียงครั้งเดียวกระมังที่นายกรัฐมนตรี Jose Ramoa Horta ได้แถลงระหว่างเข้าประชุม ARF ที่มาเลเซียเมื่อเดือนกรกฏาคม
2006 หลังเหตุนองเลือดครั้งสำคัญในต้นปีนั้นว่า จะขอเข้าอาเซียนอย่างเป็นทางการและขออีก 5 ปีเพื่อเตรียมตัวเป็นสมาชิกสมบูรณ์
แต่แล้วความคึกโครมของเรื่องก็จางหายไป
ขณะที่ภาพความรุนแรงในประเทศติมอร์ฯ ห้วงนั้นกลับปรากฏขึ้น และเป็นสิ่งที่ประเทศสมาชิกอาเซียนต่างเห็นและรู้สึกถึงได้ว่า ติมอร์ฯ ยังไกลเหลือเกินจากความสงบร่มเย็น และยากนักที่จะเข้าเป็นสมาชิกอาเซียนที่ต้องมีพันธะและความรับผิดชอบมากมาย
อย่างไรก็ดี
สิ่งสำคัญที่พึงบันทึกไว้ก็คือ ติมอร์ฯ
สนใจและแสดงความประสงค์ทางการทูตผ่านผู้นำอินโดนีเซียซึ่งถือเป็นพี่เบิ้มอาเซียนมาแต่วันแรกว่าอยากเข้าอาเซียนฯ ซึ่งถ้าติมอร์ฯ
ติดตามเรื่องต่อเนื่องก็น่าจะเข้าได้ไม่ลำบากนัก เพราะอินโดนีเซียคงช่วยผลักดันเต็มที่
เนื่องจากอินโดนีเซียเป็นหนี้ที่ไปสร้างสิ่งเลวร้ายต่อชีวิตและเลือดเนื้อของชาวติมอร์ฯ
ไว้หนักหนาสาหัส ดังนั้น หากวันใดที่ติมอร์ฯ ได้เข้าอาเซียนแล้วไซร้ ก็เท่ากับทั้งสองประเทศได้ก้าวผ่านบทแห่งความขมขื่นและความทรงจำที่เจ็บปวดไปสู่ห้วงแห่งความสุขและการพัฒนา และทำให้อินโดนีเซียหลุดจากภาพจอมโหดแห่งภูมิภาคหรือพ้นจากโซ่ตรวนแห่งการถูกกล่าวร้ายโจมตีของตะวันตกในเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เคยกระทำต่อติมอร์ฯ
ไปได้ในระดับหนึ่ง ขณะที่ติมอร์ฯ
เมื่อได้เข้าอาเซียนก็ถือเสมือนว่าได้หลุดพ้นและทิ้งอดีตเจ็บปวดเพื่อเดินหน้าสร้างบ้านเมืองกันใหม่ภายใต้ความร่วมมือกับอาเซียนต่อไป
อนึ่ง
ในห้วงระยะเวลานั้น หากเทียบกับประเทศอย่าง
CLMV อื่นที่เข้า ๆ อาเซียนกันมาก่อนหน้านั้นไม่นาน หลายอย่างยังอุ่นอยู่ และเรื่องต่าง ๆ ยังอยู่ในความทรงจำ (เวียตนามเข้า 1995, ลาวและพม่าเข้า
1997, และกัมพูชาเข้าเมื่อ 1999) ทำให้โอกาสของติมอร์ฯ
นั้นเป็นไปได้อย่างมากถ้าหากมีการผลักดันออกเป็นมติของอาเซียนในการประชุมระดับสูงสุด
(ASEAN Summit) ในระยะนั้น
แต่การกลับเป็นว่าติมอร์ฯ
ไม่ได้ติดตามด้วยเหตุที่ถูกรุมเร้าด้วยปัญหาภายในประเทศ จนกระทั่งวันที่ 4 มีนาคม
2011 นี้เองที่ประธานาธิบดี Jose Ramos Horta ต้องมาเดินตามกฏด้วยการยื่นใบสมัครเข้าเป็นสมาชิกอย่างเป็นทางการ
ในเวลาที่กฏบัตรอาเซียนออกมาบังคับใช้แล้วกับการรับสมาชิกใหม่ในปี 2008
ทำให้ความยืดหยุ่นทางการเมืองของอาเซียนขาดหายไป และแม้นตัวประธานาธิบดี Horta
จะได้แถลงตามหลังการยื่นใบสมัครว่าติมอร์ฯ หวังจะได้เป็นสมาชิกในปี 2012 ก็ตาม แต่วันเวลาผ่านไปจนถึงวันนี้แล้ว ก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ถ้าอย่างนั้นติมอร์ฯ จะต้องรอถึงเมื่อไหร่ หรือต้องใช้เวลาอีกนานเท่าใด
การรับติมอร์ฯ
เข้าเป็นสมาชิกอาเซียนนั้นอยู่ในระเบียบวาระ
แต่จะเป็นเมื่อไหร่ที่ ASEAN Summit จะตัดสินนั้นคงต้องรอ หลายประเทศสมาชิกยอมรับว่าติมอร์ฯ อยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างชัดเจน
แต่ความที่ติมอร์ฯ เป็นประเทศในกลุ่ม least
developed countries ที่ระดับการพัฒนาต่ำ บางประเทศอาเซียนจึงเชื่อว่าติมอร์ฯ จะมาฉุดดึงอาเซียนให้ถอยหลังมากกว่าที่จะเดินหน้าไปสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี
2015 ที่อาเซียนมุ่งมั่นจะเป็นตลาดเดียว
(single market) ที่เป็นฐานการผลิตหลักที่สำคัญโดยจะก้าวสู่การเป็นภูมิภาคที่มีระดับการแข่งขันสูงภายใต้ระบบเศรษฐกิจการค้าและบริการที่เสรี
ติมอร์ฯ วันนี้มีประชากร 1.1
ล้านคน
ซึ่งแน่นอนว่าหากเข้าเป็นสมาชิกอาเซียนแล้วติมอร์ฯ
จะเข้าเป็นส่วนหนึ่งของตลาดการค้าอาเซียนที่มีประชากรถึง 600 ล้านคน และแทนที่ติมอร์ฯ จะได้เพียงประโยชน์จากการตลาดกับสมาชิก
Community of Portuguese Language Countries หรือ
CPLP ซึ่งเป็นการรวมกลุ่มของ 8
ประเทศพูดภาษาโปรตุเกสที่มีประชากร 236 ล้านคนแล้ว เมื่อรวมส่วนของตลาดอาเซียน จะทำให้ติมอร์ฯ มีตลาดสำหรับสินค้าของตนได้ถึง 836 ล้านคนเลยทีเดียว
อันนี้ยังไม่นับรวมสิทธิพิเศษที่ติมอร์ฯ จะได้จากจีน ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น
และหลายประเทศตะวันตกตลอดจนประชาคมเศรษฐกิจยุโรปที่พร้อมให้ความช่วยเหลือในฐานะประเทศ
least developed country ตามเกณท์ระหว่างประเทศที่จัดวางกันไว้อีกด้วย จึงเห็นชัดเป็นอย่างยิ่งว่าโอกาสทองของติมอร์ฯ
นั้นรออยู่เบื้องหน้า
กฏบัตรอาเซียนที่มีผลบังคับใช้แล้วได้กำหนดไว้ในมาตรา
6 ว่าด้วยการรับสมาชิกใหม่ว่า
ประเทศนั้นจะต้องตั้งอยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นที่ยอมรับของอาเซียนทุกประเทศ ตกลงยินยอมปฏิบัติตามกฏบัตรอาเซียน
และมีความสามารถและความปรารถนาที่จะดำเนินการตามพันธะกรณีในฐานะประเทศสมาชิก และที่สำคัญที่สุดก็คือ การรับสมาชิกใหม่จะต้องตัดสินใจโดยฉันทามติของสิบประเทศสมาชิกในการประชุมระดับสูงสุดของอาเซียน
เมื่อเราทะยอยพิจารณาดูทีละประเด็นเห็นชัดว่าเรื่องที่ตั้งชัดเจนเพราะอยู่ส่วนปลายสุดของหมู่เกาะอินโดนีเซีย กับทั้งเราก็สามารถกล่าวได้ว่าติมอร์ฯ
ก็เคยเป็นสมาชิกอาเซียนแล้วเมื่อครั้งอยู่ภายใต้อธิปไตยของอินโดนีเซีย สำหรับเรื่องการยอมรับก็ชัดเจนนับแต่วันแรกที่อาเซียนให้สถานะผู้สังเกตการณ์แก่ติมอร์ฯ
และการรับติมอร์ฯ เข้าเป็นสมาชิก ARF นอกจากนี้ ติมอร์ฯ
ยังได้เข้าร่วมการประชุมของอาเซียนด้วยดีเสมอ ๆ
เพื่อสร้างเสริมการเรียนรู้เกี่ยวกับอาเซียน
ดังนั้น จึงแจ้งชัดว่าติมอร์ฯ
ได้เป็นที่ยอมรับของอาเซียน อนึ่ง ติมอร์ฯ
ยังได้เคยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมผู้เชี่ยวชาญภายใต้ ARF ที่กรุงดิลี มาแล้วอีกด้วย
นอกจากนี้
ติมอร์ฯ ยังได้ลงนามใน Treaty of Amity and Cooperation in
Southeast Asia หรือ TAC ด้วยแล้วเมื่อปี 2007 ซึ่งหมายความว่าประเทศเล็ก ๆ
แห่งนี้พร้อมผูกพันและยอมรับต่อแนวคิดว่าด้วยการไม่แทรกแซงกิจการภายในของประเทศสมาชิก และกฏเกณท์ต่าง ๆ ที่อาเซียนได้จัดวางไว้ และในส่วนอื่น ๆ ติมอร์ฯ
ยังได้เปิดสำนักงานเลขาธิการอาเซียนแห่งชาติติมอร์ฯ ขึ้นที่กรุงดิลี
โดยประเทศสมาชิกอาเซียนต่างร่วมมือให้ความช่วยเหลือทั้งด้านฝึกอบรมบุคคลากรและเทคนิควิธีการในการดำเนินกิจกรรมต่าง
ๆ ของอาเซียนเป็นอย่างดี
ดังนั้น
ที่เหลืออยู่เวลานี้ก็คือรอว่าวันใดที่ที่ประชุมสุดยอดของอาเซียนจะออกฉันทามติยอมรับติมอร์ฯ
เข้าเป็นสมาชิก
ซึ่งหากวิเคราะห์ลงไปแล้วจะเห็นว่า
เวลานี้มิใช่เรื่องของอาเซียนที่จะตัดสิน
แต่เป็นเรื่องของติมอร์ฯ เองมากกว่าที่จะแสดงความพร้อมในทุกด้านออกมาให้อาเซียนเห็นต่างหาก เพราะสิ่งสำคัญที่สุดในการที่ติมอร์ฯ
จะสามารถประกอบกิจกรรมทั้งหลายทั้งมวลร่วมกับอาเซียนได้นั้น ติมอร์ฯ ต้องมีทรัพยากรบุคคลที่พร้อมสรรพ
โดยต้องได้บุคคลากรที่ผ่านการฝึกอบรมและเรียนรู้เรื่องอาเซียนที่พร้อมปฏิบัติงานของกระทรวงทบวงกรมต่าง
ๆ ได้ แต่วันนี้ติมอร์ฯ ยังมีคนจำกัด
และคนที่มีก็ยังมีความสามารถหรือความรู้เรื่องอาเซียนอย่างจำกัดอีกด้วย
อาเซียนมีการประชุมในสาขางานหรือวิชาการด้านต่าง
ๆ รวมปีหนึ่งประมาณ 600 วัน บ้างก็ว่ามากถึง 800 วัน ซึ่งการประชุมจำนวนมากมายเหล่านี้
ต้องการให้ทุกประเทศสมาชิกเข้าร่วมเพื่อพิจารณาและตัดสินเพื่อให้งานก้าวเดินต่อไป หากการประชุมใดขาดเสียซึ่งสมาชิกเพียงประเทศเดียว เรื่องที่เข้าสู่การพิจารณาของการประชุมนั้นก็ต้องชะงักงันไป ด้วยเหตุนี้
ติมอร์ฯ จึงต้องมีคนพร้อม
แล้วภาษาอังกฤษก็เป็นอีกเรื่องที่สำคัญไม่น้อย
เนื่องจากการประชุมอาเซียนได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาทำงาน แต่ติมอร์ฯ ยังมีผู้รู้ภาษาอังกฤษแตกฉานไม่มากพอ แต่ก็ทราบว่าติมอร์ฯ กำลังเร่งเสาะหาหรือแก้ไข โดยเวลานี้
ติมอร์ฯ ได้รับความร่วมมืออย่างดีจากประเทศสมาชิกและประเทศคู่เจรจา หรือ Dialogue
Partners ต่าง ๆในการพัฒนาด้านภาษา เทคนิคการทำงาน
และระบบสารสนเทศสมัยใหม่อื่น ๆ เพื่อให้เกิดความพร้อมให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
เวลานี้จึงเป็นความท้าทายเสียยิ่งกว่าเป็นโอกาสที่ติมอร์ฯ
กำลังเผชิญในการเข้าสู่อาเซียน
แต่ด้วยผลประโยชน์และความยิ่งใหญ่ที่จะตามมา ติมอร์ฯ
คงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเดินหน้าต่อไปอย่างมั่นคง
โดยมีมิตรประเทศโดยเฉพาะไทยและอินโดนีเซียที่ให้ความช่วยเหลืออย่างใกล้ชิด ทำให้โอกาสเข้าอาเซียนของติมอร์ฯ
คงมาถึงได้ในไม่ช้า